top of page
chiranjeeb-mitra-8jcgjQIttF8-unsplash.jpg
318563573_8348605561848217_6938816088902733915_n_edited.jpg

STORY

Charactor

บาค

นางฟ้า

นิยายสั้นเรื่องนี้ได้แต่งขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบการแสดงครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบในการเล่าเรื่องไปกับดนตรี ซึ่งไม่ได้แต่งมาจากประสบการณ์ของตัวเองแต่ในเนื้อเรื่องนั้นมีเรื่องเกี่ยวกับความเศร้าและความมืดหม่นในหลากหลายรูปแบบตามเพลงที่ได้เลือกมาแสดงในครั้งนี้

 

            ในยามเช้าอันแสนสดใสเด็กหนุ่มคนหนึ่งตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความงัวเงียสักพัก ก่อนลุกขึ้นมาจากเตียงอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อยแล้วจึงลงไปข้างล่าง

            “บาคครับเมื่อไหร่จะไปเรียนลูก…สายแล้วนะครับอย่าลืมขนมปังกับเนยนะ” แม่พูดกับเด็กหนุ่มคนนั้น

            “กำลังไปครับแม่” เด็กหนุ่มตอบผู้เป็นแม่พร้อมวิ่งโดยที่ปากนั้นคาบขนมปังที่แม่ทำไว้ให้เขาเป็นอาหารเช้า

            เขาขึ้นไปบนรถพร้อมที่จะไปโรงเรียนด้วยความร่าเริงแจ่มใสชนิดที่ยากจะเหมือนเด็กทั่วไป

เด็กหนุ่มคนนั้นก็คือบาค เฮคเตอร์ที่มีอายุได้ 11 ปีในปีนี้ บาคนั้นชอบการที่จะไปโรงเรียนอย่างมากจนผิดวิสัยของเด็กทั่วไป เพราะการไปโรงเรียนมันทำให้เขาสนุกเหลือเกิน การทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ กับคนอื่นเป็นเรื่องที่ทำให้บาคตื่นตัวโดยเฉพาะกิจกรรมที่ทำกับพ่อแม่ของบาคเอง อุปนิสัยส่วนตัวเป็นคนร่าเริง เป็นมิตร เข้ากับทุกคนรอบข้างได้เป็นอย่างดีใจดี แต่กระนั้นบาคก็เป็นคนซุ่มซ่ามนิดหน่อย

            เมื่อบาคถึงที่โรงเรียนเขาได้ลาพ่อกับแม่แล้วเข้าไปในโรงเรียนทันที ในคาบวิชาดนตรีช่วงเช้าซึ่งเป็นคาบเรียนที่เขาหลงรักมากที่สุด เขาได้เข้าไปในห้องเรียนพร้อมกับพา “เชลโล่” เครื่องดนตรีที่เขาเลือกเล่นเข้าไปด้วย ซึ่งทันทีที่เข้าเข้าไปในห้องเรียนแล้วก็มีเสียง...

             “เฮ้ย! บาคมานี่หน่อยเรามีเรื่องมาถามน่ะ” เพื่อนของบาคตะโกนมาทางเด็กหนุ่มทันทีเมื่อเห็นเขา เพื่อขอความช่วยเหลือ

             “ได้สิ ไหนมีอะไร มีปัญหาที่จุดเดิมเหมือนเมื่อวานหรือเปล่า” บาคถามเพื่อนขณะเดินเข้าไปหา

             “ใช่ ๆ ตรงนี้แหละที่เราจะมีปัญหาตลอดเลยเล่นไม่ได้สักที เสียงที่ออกมามันฟังแปลก ๆ ยังไงก็เล่นต่อไม่ได้ มันโดดจากส่วนอื่นของเพลงมันยากมาก ๆ เลยตรงนี้เราไม่รู้ว่าต้องแก้ยังไงแล้ว” เพื่อนของบาคพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีเมื่อยังแก้ปัญหาไม่ได้ซะที

              “งั้นก็ลองซ้อมช้า ๆ สิฟังเพลงเยอะ ๆ ก็ช่วยได้มากเหมือนกันเลยนะเดี๋ยวเราช่วยแก้ปัญหา นายลองเล่นให้ฉันฟังหน่อยสิ” บาคพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจและช่วยเพื่อนคนนี้อย่างเต็มที่และเต็มใจ

              บาคนั้นเป็นเด็กที่มีความสามารถและศักยภาพทางดนตรีสูงมาก จนถือได้ว่าเป็นคนที่เก่งด้านนี้สูงอันดับต้น ๆ ของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ เขาจะได้รับตำแหน่งหัวหน้าในการควบคุมวงดนตรีทุกครั้งเมื่อมีงานแสดงเดี่ยวกับดนตรีและเขานั้นยังหลงรักแล้วสนุกไปกับทุกช่วงเวลาของมันอีกด้วย เด็กหนุ่มสามารถเล่นเชลโล่และเปียโนได้เป็นอย่างดี แต่ทักษะด้านดนตรีอื่น ๆ ที่เขามีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

 

                                               ..............................................

 

             ช่วงเวลาแห่งการเล่าเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงไม่นานก็ถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ของบาคอีกครั้ง ในตอนนี้ที่บ้านของเขาขณะที่บาคกำลังทานอาหารเช้ากับครอบครัว พ่อของเขาก็ได้เริ่มพูดคุยขึ้นมา

             “พ่อว่าพวกเราน่าจะไปต่างจังหวัดกัน คิดว่าไปพักที่พูลวิล่าแล้วก็ไปเล่นน้ำทะเลกันดีไหม? พักผ่อนกันหน่อยปิดเทอมทั้งที” พ่อของบาคได้ถามสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออีกสองคน

             “ไปครับ!!! เรื่องน่าสนุกแบบนั้นผมอยากไปอยู่แล้ว! แล้วเราจะไปกันเลยไหมครับ!!” บาครีบตอบกลับพ่อของเขาในทันทีด้วยสีหน้าดีใจและกระโดดโลดเต้นเสียยกใหญ่

             “ฮ่า ๆ พ่อเข้าใจแล้วว่าลูกอยากไป แต่บาคต้องใจเย็น ๆ ก่อนนะลูก เดี๋ยววันนี้พวกเราไปเตรียมตัวเก็บกระเป๋ากันนะ เดี๋ยวล้อรถจะเริ่มหมุนพรุ่งนี้กันเลยดีไหม?” พ่อของบาคกล่าวอย่างอารมณ์ดีทำให้บาครีบพยักหน้า

             “ดีครับ!” และนั้นทำให้บาครีบวิ่งขึ้นไปบนห้องของเขาทันที โดยที่เขายังกินข้าวไม่หมดเลยด้วยซ้ำ

             “บาค! แล้วลูกอย่าลืมลงมากินข้าวให้หมดด้วยนะแล้วก็เก็บกวาดด้วยล่ะ ไม่เห็นต้องรีบขึ้นไปแบบนั้นเลยนะลูก พวกเรามีเวลาทั้งวัน!” แม่ตะโกนบอกบาคพร้อมกับยิ้มเล็ก ๆ ที่เห็นลูกชายกระตือรือร้นขนาดนั้นแล้วทานอาหารเช้าต่อ

 

                                               .............................................

 

              วันถัดมา….คือวันที่พวกเขาทั้งครอบครัวจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดซึ่งบาคนั้นตื่นเช้าเป็นพิเศษเพราะว่าเขานั้นตื่นเต้นมากจนนอนแทบไม่หลับ เด็กหนุ่มมารออยู่ที่โซฟาข้างล่างตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะรอพ่อแม่ของเขานั้นลงมา เมื่อพ่อแม่ของบาคลงมาแล้วพวกเขาก็ช่วยกันขนสัมภาระที่จำเป็นขึ้นรถให้เรียบร้อยแล้วยัดตัวเองเข้ารถ แค่นี้พวกเขาก็พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว

              “เอาล่ะ! จะไปกันละนะทุกคน” พ่อกล่าวกับทุกคนในรถ

              “ไปเลย!! ผมรอเวลานี้มานานแล้วครับ!” บาคตอบกับพ่อด้วยน้ำเสียงที่ดีใจและเด็กหนุ่มก็ตื่นเต้นร่าเริงมากขึ้นกว่าเดิมจากปกติที่ร่าเริงอยู่แล้ว

               แต่ใครจะรู้ว่าช่วงเวลาที่เขาร่าเริงมากที่สุดจะเป็นวันที่เขาเศร้าที่สุดจนใจเขาจะขาดเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนกัน…..

               พ่อของบาคขับรถไปข้างหน้าเรื่อย ๆ และบาคนั่งอยู่บนตักแม่จนไปเจอกับไฟแดงตรงสี่แยกทำให้พ่อต้องหยุดรถเพื่อรอที่จะข้ามแยกนี้ไป

               “ไฟแดงนี่ก็นานจริงเวลาไฟเขียวก็แป๊ปเดียว แถมยังไม่มีป้ายบอกเวลาแล้วแบบนี้เมื่อไหร่พวกเราจะได้ไปกันเนี่ย” พ่อของบาคบ่นเบา ๆ ขณะที่จอดรถรอไฟเขียว

               “เอาน่าไม่เป็นไรหรอกพ่อ พวกเราเองก็ไม่ได้รีบเหมือนวันทำงานสักหน่อยก็ค่อย ๆ ไปก็ได้” แม่พูดปลอบใจพ่อพร้อมกับลูบหัวของบาคที่นั่งบนอยู่บนตัก ขณะที่เขามีอาการง่วงซึมจากการตื่นเช้าและนั่งรถมาได้สักพัก

               แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีรถบรรทุกจากฝั่งตรงข้ามพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วขนาดที่ไม่สามารถที่จะหลบได้ เมื่อผู้เป็นแม่ได้เห็นสถานการณ์ตอนนั้น จึงตัดสินใจทำการโยนบาคออกจากรถทันทีก่อนที่รถบรรทุกจะชนกับรถของตนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจนกลิ้งตลบไปหลายครั้งจนรถนั้นไม่เหลือสภาพชิ้นดีก่อนจะระเบิดซ้ำอีกคร่า โดยในระหว่างเกิดเหตุบาคที่ถูกโยนลงจากรถก็ได้เห็นภาพนั้นเต็มตาก่อนจะหมดสติไป เมื่อตื่นมารู้สึกตัวอีกทีบาคก็อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว บาคชายตามองไปมารอบตัวและพึมพำกับตัวเองเสียงเบาพร้อมกับความเจ็บทางที่ขาของเขาที่กำลังเข้าเฝือกอยู่

               “เราอยู่ที่ไหนกันโรงพยาบาลเหรอ อ๊ะ! เจ็บ! ทำไมที่ขามันเจ็บแบบนี้ล่ะ แล้วทำไมขยับขาไม่ได้เลยมันเกิดอะไรขึ้นแล้วพ่อแม่อยู่ที่ไหนครับ….” จากนั้นไม่นานบาคก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง

               “สวัสดีครับบาคเป็นอย่างไรบ้างครับตัวเล็ก” เสียงชายหนุ่มรูปหล่อในเสื้อกาวน์ถือกระดาษและปากกากำลังขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่ ชายหนุ่มคนนี้คือคุณหมอที่เป็นคนดูแลบาคตั้งแต่ตอนเกิดอุบัติเหตุจนถึงตอนนี้

               “มีอาการเจ็บขาอยู่ไหมครับ” หมอถามบาคด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

               “เจ็บมากเลยครับคุณหมอ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเจ็บขนาดนี้จำได้แค่ตอนที่ผมถูกโยนออกมาจากรถแล้ว...ผมก็หลับแบบไม่รู้สึกอะไรเลย โอ้ย!” บาคตอบหมอ

               “งั้นตอนนี้บาคยังเจ็บอยู่สินะครับ งั้นบาคคงจะต้องอยู่ที่ห้องนี้อีกสักพักใหญ่เลยนะครับเดี๋ยวหมอจะให้ยาหนูนะ มันจะบรรเทาอาการเจ็บของหนูได้ครับ” หมอกล่าวพร้อมจดบันทึกอาการของเด็กหนุ่มไว้

               “แล้วพ่อกับแม่ผมล่ะอยู่ไหน” บาคถามคุณหมอตรงหน้า คุณหมอที่ถูกถามเขาดูลนลานอย่างเห็นได้ชัด ไม่ยอมสบสายตาในทันทีต่างจากบุคลิกที่เขาเดินเข้ามา

               “เราจะบอกเขายังไงดีนะ….” หมอตั้งคำถามที่ยากลำบากในใจเขานั้นไม่รู้จะแสดงท่าทียังไงต่อหน้าบาค พอเด็กหนุ่มเห็นท่าทีคุณหมอเปลี่ยนไปเขาจึงรีบถามทันที

               “คุณหมอเป็นอะไรไปครับหรือว่า...พ่อแม่ของผมเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ!” บาคถามอย่างหวาดกลัวเหมือนจะนึกความทรงจำบางอย่างได้ แต่ก็นึกไม่ออกมันทำให้หมอตกใจมาหพร้อมกับบอกพูดออกมา

               “เอ่อ….คือวะ วะ ว่า พะ พวกเขายังไม่ที่จะ...อืม พวกเขายังไม่สามารถมาเจอบาคได้…..ตอนนี้นะครับ” หมอตอบด้วยเสียงที่ตะกุกตะกักชวนน่าสงสัยเหมือนมีอะไรสักอย่างปกปิดบาคไว้อยู่

               “จะเป็นไปได้ยังไงครับคุณหมอ ถ้าผมเป็นอะไรไปปกติพ่อแม่ของผม...พวกเขาจะอยู่กับผมแทบตลอดเวลา! เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่มาหาผมตอนนี้!” บาคกล่าวด้วยความสงสัยและเริ่มมีอาการโมโห

               “บาคต้องใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ พักผ่อนอยู่ในห้องก่อนนะแล้วก็หนูอย่าขยับขาเยอะนะเดี๋ยวจะเจ็บมากกว่าเดิม พ่อแม่หนูเขามีเหตุผลที่มาไม่ได้นะ” คุณหมอกล่าวอย่างปลอบโยนให้เด็กหนุ่มตรงหน้าใจเย็นลง หลังจากนั้นก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น

               “มีอาหารมาส่งให้ค่ะ” เสียงของแสนหวานของหญิงสาวที่เป็นพยาบาลได้เข้ามาช่วยเหลือคุณหมอในยามวิกฤติ เธอคนนี้ได้นำอาหารมาให้กับบาคทำให้เขาไม่สามารถถามคุณหมอต่อได้

              “คุณหมอบอกเขาแล้วหรือยังคะ” พยาบาลกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของหมอ

              “ยังเลย ผมไม่รู้ว่าจะบอกกับน้องเขาอย่างไรดี ตอนนี้บาคเขาก็ยังเด็กอยู่นะ….” หมอตอบด้วยเสียงที่สั่นคลอสงสารเด็กหนุ่มที่เขาดูแลที่ต้องประสบกับเหตุการณ์แบบนี้

              “ต่อให้สงสารแค่ไหนคุณหมอก็ต้องบอกแกนะ เรื่องแบบนี้จะทิ้งให้ความหวังไม่ได้ คุณหมอต้องบอกน้องเขาให้เร็วที่สุด” พยาบาลตักเตือนอย่างจริงจัง 

              แต่ทางด้านของบาคนั้นไม่ได้ยินอะไรบทสนทนาเพราะเขานั้นกำลังสนใจตุ๊กตาของเขาที่อยู่ข้างหมอนของเขา จากนั้นพยาบาลช่วยบาคให้นั่งบนเตียงได้พร้อมกับปรับเตียงให้ตั้งเพื่อนั่งให้สะดวกพร้อมกับนำอาหารที่เตรียมไว้ให้มาวางไว้บนโต๊ะให้เขา จากนั้นหมอและพยาบาลก็ลาบาคแล้วเดินออกไปพยาบาลสาวที่กำลังจะเอื้อมมือไปเพื่อจะเปิดประตูห้องออกไปก็ถูกคุณหมอหยุดมือเอาไว้

              “เดี๋ยวก่อนคุณพยาบาล” หมอพูดกับพยาบาลข้างตัวพร้อมกับจับมือเอาไว้

              “มีอะไรเหรอคะคุณหมอ” พยาบาลสาวถามอย่างสงสัย

              “ผมว่า...ถึงเวลาที่ผมต้องพูดความจริงแล้วมันถูกอย่างที่คุณบอก ช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ”หมอหนุ่มขอร้องทำให้พยาบาลตกลง ทั้งคู่จึงย้อนกลับมาบาคที่ทานข้าวอยู่บนเตียง คุณหมอไปยืนอยู่ข้างเตียงโดยมีพยาบาลให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ 

              “บาคครับ….หมอมีเรื่องสำคัญจะบอกเรานะครับ” หมอเริ่มการสนทนาด้วยนำเสียงที่ไม่ดีเท่าไหร่

              “เรื่องสำคัญอะไรเหรอครับคุณหมอ?” บาคถามกลับสงสัยแล้วกลัวว่ามันจะเป็นข่าวร้าย

              “ฟู่ว…..พ่อแม่ของหนูน่ะครับ” เสียงคุณหมอเริ่มสั่น ทำให้พยาบาลสาวเดินไปจับไหล่บาคในทันทีเพราะเรื่องที่จะบอกหลังจากนี้คงจะสะเทือนใจเด็กหนุ่มอย่างมาก 

              “คือพวกเขา….จากหนูไปหลังจากที่แม่ของหนูโยนหนูออกจากรถแล้วนะครับ….” หมอกล่าวพร้อมกับกุมมือบาคไว้

              “...” บาคพูดอะไรไม่ออก ดวงตาของเขานั้นเหม่อลอยแล้วมีน้ำตาคลอเบ้า

              “หมอขอโทษบาคนะครับที่ต้องพูดแบบนี้ แต่หมอต้องบอกความจริงให้เรารับทราบเอาไว้นะครับ ทางพวกเราเองก็พยายามช่วยพวกเขา โอ๊ย! ใจเย็นะครับบาค! บาคใจเย็นก่อน!” ยังไม่ทันที่หมอหนุ่มจะได้พูดจนจบ บาคก็ได้นํามือของตนที่บาดเจ็บน้อยที่สุดมาตีหมอเท่าที่เขาจะมีแรง

              “ไม่จริงงง!!!! อ๊ากกกก!!!!” บาคอาละวาดพยายามปฏิเสธความจริงที่แสนเจ็บปวดเหมือนกับมีภาพที่แสนโหดร้ายที่รถระเบิดแทรกเข้ามาในความทรงจำ เขาใช้มือตีไปที่หมอและพยาบาลที่อยู่ข้างเตียงเขาอย่างรุนแรงและใช้อาหารที่พยาบาลนำให้สาดใส่ทั้งคู่ แต่บาคนั้นยังไม่หยุดแค่นั้นเพราะเขานั้นยังทุบขาของตัวเองที่ถูกใส่เฝือกอยู่ราวกับว่าเขาต้องการใช้ความเจ็บปวดให้ตัวเองตื่นจากฝันร้าย

              “หมอโกหก! พวกเขายังไม่ตาย!! พ่อแม่ยังไม่จากหนูไปไหน!! ฮือ….อ๊ากกกก!!!!” บาคตะโกนทั้งน้ำตา พร้อมกับอาการอาละวาดพังข้าวของใกล้มือและทำร้ายตัวเอง

              “บาคอย่าทำอย่างนี้เลยนะ!!” หมอพยายามห้ามบาคไม่ให้ทำลายข้าวของและตัวเองไปมากกว่านี้

              “คุณพยาบาลขอยาด่วน!! เดี๋ยวนี้เลย!” หมอตะโกนบอกพยาบาลพร้อมกับจับตัวของบาคไว้แน่นเพื่อไม่ให้เขานั้นทำร้ายตัวเองอีกต่อไป

              “ไม่จริง!!!! ทำไมหมอไม่ช่วยพ่อกับแม่เอาไว้ล่ะ!! ทำไม!!” บาคตะโกนออกมาอย่างเสียใจอย่างสุดซึ้ง ซึ่งในขณะเดียวกันพยาบาลได้นํายาสลบมาฉีดที่แขนของบาคเพื่อให้เขานั้นสงบลง

              ในตอนนั้นเองที่จิตใจของบาคได้แตกสลายกลายไม่เหลือชิ้นดีจากการที่เสียบุคคลที่เขารักที่สุดในชีวิตไป จากเหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้บาคเปลี่ยนไป เขากลายเป็นอีกคน ไม่พูดคุยกับใคร หมอถามอาการเขาก็ไม่ยอมตอบ ไม่ยอมทานข้าวและมีอาการอาละวาดบ่อยครั้งตอนที่อยู่โรงพยาบาล ร้องไห้อย่างหนักในทุกวัน เขานั้นแทบไม่เหลือใครแล้วนับตั้งแต่นั้นมา จึงไม่แปลกเลยที่จะทำให้เขานั้นมีอาการของโรคซึมเศร้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตตลอดมาจนกระทั่งเขาได้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่….

 

                                                .................................................

 

               ด้วยวัย 25 ปี ในตอนนี้บาคได้ทำงานเป็นนักดนตรีและครูสอนดนตรีที่บ้านของตัวเอง โดยเขาใช้เปียโนเป็นหลักในการสอน ส่วนเชลโล่เขาใช้ในการแสดงต่าง ๆ ซึ่งในชีวิตการเรียนและการทำงานเขาก็ได้ทำให้เขาพบรักกับผู้หญิงคนนึง โดยที่เขาได้ไปพบกับเธอที่วงออเครตร้าที่เขาทำงานอยู่ หญิงสาวคนนั้นเธอเล่นในต่ำแหน่งเป็นนักวิโอล่าของวง ซึ่งทั้งคู่ก็ได้คุยกันและดูใจกันไปเรื่อย ๆ จนตกลงเป็นคู่รักกันซึ่งเธอก็เป็นคนที่ทำให้บาคนั้นมีอาการโรคซึมเศร้าน้อยลงไปมาก

               จนกระทั่งมีวันหนึ่ง….ช่วงค่ำ ๆ หลังจากที่บาคซ้อมวงเสร็จ

               “วันนี้เป็นวันครบรอบเดี๋ยวเราซื้อของไปเซอร์ไพร์แฟนเราดีกว่า เธอน่าจะดีใจไม่น้อยแน่ ๆ” บาคพูดอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงใบหน้าของแฟนสาวประหลาดใจเมื่อเขามอบของให้ในวันครบรอบ ในขณะกำลังคาดหวังไปล่วงหน้าใบหน้าของบาคนั้นก็แดงก่ำเหมือนกับคนโดนแดดจัด มันทำให้บาคได้ไปซื้อช่อดอกไม้ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ ๆ ที่เขาทำงาน ณ ตอนนั้น

               “ช่อนี้เท่าไหร่ครับพี่”บาคถามคนขาย

               “ช่อละ 500 บาทครับ” พนักงานที่ร้านตอบ

               “งัันผมเอาช่อนี้ช่อนึงครับ แล้วก็ฝากพิมพ์ข้อความนี้ใส่เข้าไปด้วยนะครับ” บาคบอกความต้องการพร้อมยื่นข้อความที่ตนเขียนเอาไว้

               “ได้ครับแล้ว แล้วจะเอาไปให้ใครเหรอครับ ตั้งใจขนาดนี้คนที่ได้ไปคงจะดีใจน่าดู” พนักงานถาม

               “หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ พอดีวันนี้เป็นวันครบรอบของผมกับแฟนน่ะครับ ผมก็เลยอยากซื้อช่อดอกไม้ให้กับเธอเป็นของขวัญครับ” บาคเขินจนหน้าแดงก่ำ

               “โอเคร งั้นขอผมจะจัดช่อให้อย่างดีเลยเชิญคิดเงินทางนี้ได้เลยครับ”

               “ได้ครับ” หลังจากที่บาครอจัดช่อดอกไม้เสร็จตามที่ต้องการแล้ว บาคก็ตรงไปที่ห้องของเธอในทันทีแต่พอเขาไปถึงที่ห้อง….

               “เอ๊ะ….ทำไมประตูมันแง้มอยู่อย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวก็เกิดอันตรายหรอกนะ ซุ่มซ่ามขี้หลงขี้ลืมจริง ๆ เลยนะ” ชายหนุ่มได้บ่นกับตัวเองเมื่อพบว่าแฟนสาวไม่ได้ล็อกห้อง พอบาคได้เข้าไปในห้องสิ่งที่เขาเห็นทำให้บาคนั้นแขนขาอ่อนแรงจนช่อดอกไม้นั้นร่วงลงกับพื้น...

               “บะ บะ….บาค!” แฟนสาวของเขาพูดขึ้นมาหลังจากหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ก็พบว่าแฟนหนุ่มได้เข้ามาเห็นเธอที่กำลังนัวเนียกับผู้ชายคนอื่นอยู่

              “นี่เธอกำลังทำบ้าอะไรเนี่ย….ห๊ะ!!!” บาคได้ตะคอกใส่แฟนสาวของเขา ที่กล้าทำเรื่องแบบนี้

              “ไอ้นี่ใครอ่ะที่รัก” ชายอีกคนที่อยู่กับแฟนของบาคถามอย่างสงสัยด้วยคำพูดนี้ ทำให้บาคเข้าไปต่อยที่ใบหน้าของชายคนนั้นทันทีและซ้อมชายที่ล้มลงกับพื้นต่อด้วยความโกรธไม่สนต่อเสียงห้ามของแฟนสาว เมื่อชู้ได้สลบคาที่ไปแล้วบาคก็หันหน้ามาที่แฟนของเขา

              “ทำไมเธอถึงตัวทำอย่างนี้!” เสียงเขานั้นสั่นเทาไปด้วยความโกรธต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมตัวเองไม่ให้ไปทำร้ายเธอ

              “ก็เธอไม่มีเวลาให้เราเลย! ตัวเธอน่ะเอาแต่ซ้อมเป็นบ้าเป็นหลังแล้วเวลาเราทำอะไรไม่ดีเธอก็เอาแต่ว่าเราไม่หยุด เราไม่ใช่นักเรียนของเธอนะ! เราคือแฟน! จะให้ทนอยู่กับเธอไปแบบนี้เราเองก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนะ” แฟนสาวกล่าวด้วยความน้อยใจแม้จะมีความกลัวเจือปนอยู่ด้วยก็ตามที

              “ก็เลยไปมีคนใหม่งั้นเหรอ มีคนใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้เลิกกับฉันนี่น่ะ? ได้!...งั้นตอนนี้ก็คงสมใจเธอแล้วล่ะ หลังจากนี้ก็ไม่ต้องเจอกันอีกขอให้มีความสุข” บาคสบถใส่แฟนสาวของเขาและใช้เท้าถีบประตูจนเกือบพังแล้วเดินออกไป เขาเดินออกมาด้วยความรู้สึกที่โศกเศร้าเป็นอย่างมาก เขาโดนคนที่รักที่สุดหักหลัง ความรักความหวังดีที่เคยคิดพวกเขามีให้กันก็ลอยหายไป แสงสว่างที่จะทำให้เขามีชีวิตต่อไปได้ดับมอดลง

              “ทำไมคนที่เราไว้ใจมากที่สุดในชีวิตต้องหักหลังเรากันขนาดนี้นะ ฉันมันแย่ มันเป็นคนไม่ดีขนาดที่ต้องได้รับบทลงโทษแบบนี้เลยงั้นเหรอ?” บาคคิดทั้งน้ำตา

              ชายหนุ่มร้องไห้หนักมากจนเหมือนว่าตัวเองได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง บาคแทบจะนอนกับพื้นเนื่องจากหมดเรี่ยวแรงจะก้าวเดินต่อไป เขารู้สึกว่าตัวเองไม่เหลือที่พึ่งหรือที่ให้กลับอีกแล้ว เขาสูญเสียสิ่งที่เขารักมากที่สุขไปเสมอ ทั้งพ่อแม่ที่รัก ทั้งแฟนของเขาที่เปรียบเหมือนคนในครอบครัว ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิต เขารู้สึกว่าตัวเองมันไม่มีค่าต่อไปอีกแล้ว ไม่รู้จะทนอยู่อย่างทรมานไปทำไม เขาแค่อยากจะจบความทรมานนี้เสียที เขาเดินร้องไห้เงียบ ๆ ไปทางสะพานสูงแล้ว...โดยไม่มีการรีรอบาคได้ตัดสินใจกางแขนออกแล้วทิ้งตัวจากข้างหลังเพื่อทิ้งตัวลงไปในน้ำอย่างไม่หวังจะเห็นเช้าวันต่อไป

“ในเมื่อไม่เหลืออะไรแล้ว ทำไมต้องทนอยู่ต่อไปด้วยล่ะ” บาคพูดกับตัวเองก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อที่จะทิ้งตัวลงน้ำไป

 

                                                 .........................................

             บาครู้สึกแปลกประหลาดที่ตัวเองตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขายังรู้สึกตัว ร่างกายไม่เปียกหรือบาดเจ็บ เมื่อมองไปซ้ายทีขวาที ก็เห็นได้ว่าบริเวณที่เขาอยู่บรรยากาศที่เหมือนอยู่บนโลก รอบข้างสีขาวโพลนไปหมด เหมือนกับว่าเป็นสถานที่พักก่อนที่จะเลือกไปเส้นทางสู่สวรรค์หรือจะลงนรก

               “ฉันตายแล้วจริง ๆ ใช่ไหมนะหรือแค่ฝันไป” บาคครุ่นคิดอย่างสงสัย เขาเดินหน้าไปอย่างไร้จุดหมายจนกระทั่งเขาได้พบเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งใส่ชุดคลุมสีขาวมีปีกอยู่ข้างลำตัว เขาจึงเดินเข้าไปหาเธอในทันที

               “มาถึงแล้วสินะ” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นบาคเดินมาหา

               “แล้วที่นี่คือที่ไหนกันล่ะ แล้วเธอคือใครกันเหรอ?” บาคถาม

               “เอาทีละคำถามเลยนะ สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่คนตายทุกคนจะต้องผ่านมาก่อนตัวเองนั้นจะไปที่สวรรค์หรือนรกตามแต่สิ่งที่สร้างมาเมื่อมีชีวิต เจ้า...เห็นประตูนี้ไหม ข้าก็คือเทวดาที่จะเลือกเส้นทางให้กับเจ้าเองอย่างไงล่ะ” เทวดาได้พูดกับบาค

                “อ้อ..อย่างงี้นี่เอง แสดงว่าฉันตายแล้วสินะ”

                “แล้วเจ้า….ข้ามีคำถามที่อยากจะถามเจ้าหนึ่งอย่าง ทำไมเจ้าถึงอยากจะฆ่าตัวตายนักล่ะ รู้ไหมกว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยากลำบากขนาดไหนกัน เจ้ามาทำให้ชีวิตของตัวเองจบลงด้วยความคิดง่าย ๆ แบบนี้น่ะมันดีแล้วเหรอ?” เทวดาเพ่งตามามองที่บาคแล้วถาม

                “ความคิดง่าย ๆ งั้นเหรอ? เธอคิดว่าการจบชีวิตตัวเองนั่นง่ายมากนักหรือไง แล้วเธอเห็นชีวิตของฉันไหมล่ะ พ่อแม่ฉันเสียไปตั้งแต่ตอนฉันยังเด็ก ภาพสุดท้ายที่ยังเห็นมันยังคอยหลอกหลอนไปทั้งชีวิตจนไม่กล้าที่จะหลับตานอน มันแทบจะเป็นเรื่องปกติที่ฉันจะเป็นโรคซึมเศร้า...โรคซึมเศร้าที่เพื่อนก็ไม่อยากเข้าใกล้จนไม่มีใครคบล่าสุดแฟนที่...เป็นที่ยึดมั่นทางใจสุดท้ายก็หักหลัง ถ้าว่าการเกิดเป็นมนุษย์แล้วต้องทนอยู่อย่างทรมาน แล้วฉันจะต้องทนอยู่ต่อไปเพื่ออะไรอีก!” บาคกล่าวทั้งน้ำตา ต่อให้เขาตายไปก็คงไม่มีใครที่คิดจะเสียใจด้วยซ้ำไป

               “อืมม….น่าสงสาร แต่เจ้าลืมสิ่งที่ตัวเองรักมาก ๆ อยู่นะ เจ้าลองคิดทบทวนดูให้ดี” เทวดากล่าว

               “จะมีอะไรอีก เธอก็เห็นแล้วนี่ฉันไม่เหลืออะไรแล้ว ยังจะมีสิ่งที่รักอีกได้ไง” บาคเริ่มหัวเสีย

               “แล้วเธอชอบทำอะไรตอนเด็ก..ไม่สิ...เรียกว่ารักมันเลยดีกว่า เธอยอมสละเวลาเพื่อมาทุ่มกับสิ่งนี้มาเสมอ จนแม้แต่ตอนนี้ตัวเธอเองก็ยังทำอยู่” เทวดาให้คำใบ้เพิ่มเติม มันทำให้บาคคิดออกได้อย่างรวดเร็ว

               “เชลโล่กับเปียโนนั้นน่ะเหรอ? นั่นก็จริงแต่...มันก็แค่เครื่องดนตรีเท่านั้น”

               “ทำไมดูถูกพลังของเสียงดนตรีอย่างงี้ทั้งที่เธอก็เป็นนักดนตรีเนี่ยนะและก็เป็นคนสอนกับนักเรียนเองว่าดนตรีสามารถเยียวยาจิตใจได้ เจ้ายังจำได้ไหม?”

              “อืม จำได้อยู่” บาคยอมรับว่าเขาเคยสั่งสอนนักเรียนไปอย่างนั้นจริง ๆ

              “ทำไมไม่นำสิ่งที่สอนคนอื่นมาใช้กับตัวเองบ้างล่ะคุณครู” บาคทิ้งตัวลงแล้วนั่งบนพื้นครุ่นคิดกับอะไรบางอย่างอยู่ แต่ถึงกระนั้น...

              “ยังไงดีล่ะเจ้าหนุ่มการตายของเจ้าน่ะยังไม่เสร็จสิ้นหรอกนะ ยังมีเวลาที่จะแก้ไขอะไรต่อมิอะไรได้ทันอยู่ เจ้าจะเลือกไหม ถ้าไม่งั้น ข้าจะตัดสินใจเองละนะ” เทวดาเตือนสติของบาคเพื่อให้เขาทำอะไรสักอย่าง บาคก็ได้คิดไปครู่นึงก็นึกถึงช่วงที่ตัวเองนั้นเล่นดนตรีหรือสอนดนตรี ทำให้เขารู้สึกได้คิดว่าอยากที่จะลองใช้ดนตรีเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ของตัวเองออกมาอย่างที่เคยสอนลูกศิษย์ไว้

               “โอเค ลองดูสักตั้งหน่อยละกัน” บาคพูดออกมา เทวดาได้ยินอย่างนั้นก็ได้จัดเตรียมเพลงที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผลต่อชีวิตของบาคมาซึ่งนั่นก็เป็นเพลงที่เกี่ยวกับความเศร้าทั้งหมด

               “ทำไมมีแต่เพลงแบบดาร์ก ๆ ล่ะ แบบนี้แล้วฉันไม่เศร้าหนักว่าเดิมเหรอ?” บาคถาม

               “การถ่ายทอดดนตรีน่ะก็ไม่ต่างอะไรกับการพูดหรอก สมมติเลยนะ ถ้าเรามีเรื่องที่เครียดหรือไม่สบายใจ เราก็จะพูดระบายกับคนที่เราไว้ใจเพื่อเป็นการระบายความคับข้องในใจที่ประสบพบเจอ มันทำให้เรารู้สึกดี สบายใจและโล่งใจมากยิ่งขึ้น” เทวดาอธิบายที่ตนเองเลือกเพลงเหล่านี้มา

               “อ้อ….ก็จริงอย่างที่เธอบอกนะ” เมื่อได้ฟังเหตุผลบาคก็เห็นด้วย

               “ดนตรีมันก็เหมือน...กับการเล่าเรื่องอย่างหนึ่งนั่นแหละ เวลาเราเศร้าก็เล่นเพลงเศร้า ๆ ออกมาเหมือนมีคนอยู่เป็นเพื่อนด้วย เธอก็ลองเล่นเพลงพวกนี้สิ เพลงพวกนี้ได้เตรียมไว้ให้กับเธอโดยเฉพาะเลยนะ”

               เทวดาก็ได้เริ่มที่จะมอบบทเพลงให้บาคนั้นได้เล่นในทันทีซึ่งลำดับแรกคือ Cello Suite No.2 in D minor บทประพันธ์ของ Johann Sabastian Bach เธอเอามาเพื่อพรรณนาถึงอารมณ์ของบาคที่ได้รับรู้ว่าเขานั้นสูญเสียคนที่เขารักที่สุดในชีวิตไปและเธอก็ได้ให้เขานึกถึงเหตุการณ์นั้นขณะที่กำลังบรรเลงเพื่อเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ในตอนนั้นออกมาให้กับการเล่นบทเพลงนี้อย่างเต็มที่ 

Cello Suite No.2 บทประพันธ์ของคีตกวีชาวเยอรมันที่มีนามว่า Johann Sabasian Bach เป็นนักประพันธ์ในช่วงปลายของยุคบาโรค เขาได้แต่งบทเพลงนี้มา 6 บทสำหรับเครื่องดนตรีเดี่ยวเชลโล่และในแต่ละบทจะมีท่อนย่อย ๆ คือ Prelude Allemande Courante Sarabande Minuet และ gigue ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเต้นรำของชาวเยอรมันและฝรั่งเศสโดยในแต่ละบทก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไปตา

               โดยในบทที่ 2 ของ Cello Suite โดยอยู่ในบันไดเสียง D minor ก็ได้พรรณนาถึงการเต้นรำแต่เป็นการเต้นรำในลักษณะอึมครึมจริงจังและดูลึกลับ บทเพลงนี้จะเป็นเพลงเปิดซึ่งจะพรรณนาถึงอารมณ์ของบาค หลังจากที่สูญเสียคนที่เขารักไป

               “หายใจเข้าลึก ๆ ล่ะเตรียมตัวที่จะเล่นนะ” เทวดากล่าว

               “โอเค จะลองดูแต่เพลงนี้ไม่ได้เล่นนานแล้วไม่รู้ว่าจะเล่นได้ดีไหมนะ” บาคพูดตามตรง

               “อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ต้องคิดหรือสนใจหรอกว่าจะเล่นดีหรือไม่ดี ในสถานที่แห่งนี้เธอเล่นบทเพลงพวกนี้เพื่อระบายความรู้สึกในใจออกมา ไม่ได้เล่นเพื่อให้เพราะเสนาะหูใครหรือแสดงให้คนอื่นชม เธอจงทำการแสดงออกมาเพื่อตัวเองนะ” เทวดากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

               หลังจากจบบทสนทนาบาคก็ได้เริ่มบรรเลงเพลงทันทีโดยมีเทวดาเป็นผู้ชมในขณะนั้นอีกด้วย ทำนองเริ่มนำเสนอไปด้วยคีย์ไมเนอร์ซึ่งเป็นคีย์ที่เกี่ยวกับความเศร้าหรือไม่สบายใจและไหลไปด้วยตัวโน๊ตประดับประดาที่หลากหลายวิ่งไล่ขึ้นและลงชวนให้เกิดความรู้สึกประหลาดใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูลึกลับและอึมครึมไม่แพ้กัน

                เมื่อเขาได้บรรเลงเพลงนี้เสร็จทำให้เขานั้นรู้สึกว่าเหมือนได้พูดความรู้สึกในใจของเขาออกมา สิ่งนี้เปรียบเสมือนเป็นพลังพิเศษเลยก็ว่าได้ ที่เขานั้นสามารถสื่อสารอารมณ์และความรู้สึกออกมาได้เป็นอย่างถูกต้องเป็นครั้งแรก ทุกคนต่างไม่อยากให้เขาเศร้า ทนความเสียใจที่เขาปล่อยออกมาไม่ได้ แต่การบรรเลงในครั้งนี้ไม่ใช่เลย มันสามารถถ่ายทอดออกมาผ่านเสียงดนตรีซึ่งไม่เคยได้สัมผัสมานานมากตั้งแต่เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตอนเด็กหรือตอนที่เขาเป็นโรคซึมเศร้า

               “ต่อเลยไหม” เทวดากล่าว

               “เดี๋ยวสิขอพักก่อนได้มั้ย…เมื่อยจัง…” บาคกล่าวพร้อมบิดขี้เกียจ

               “เยี่ยมมาก ทีนี้ระหว่างพักเรามาคุยกันดีกว่า” เทวดากล่าวพร้อมลงมานั่งข้าง ๆ บาค

               “ถามอะไร?” บาคถามด้วยความสงสัย

               “ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ ในระหว่างที่ได้เล่นเพลงนี้นายกำลังนึกถึงอะไรอยู่”เทวดาถาม

               “ความรู้สึกในตอนนี้น่ะเหรอ….มันรู้สึกเจ็บ ๆ อยู่แต่ก็โล่งขึ้นนะ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้นานแล้ว” บาคกล่าวและถอนหายใจอย่างแรง เหมือนบางอย่างที่ในอกของเขาแบกรับเอาไว้ถูกยกออกไป

               “อื้ม…..ดีมาก มันไม่มีทางที่จะหายเศร้าในทันทีหรอกนะ แต่มันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ นี่แหละคือดนตรีที่สามารถสื่อสารและถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้งที่สุด โดยเฉพาะกับเธอที่มีความสามารถแบบนี้อยู่แล้ว” เทวดาตอบพร้อมกับยิ้มมุมปากให้บาค

              “พอได้ระบายอารมณ์ออกมามันก็รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ” บาคยอมรับจากนั้นเทวดาก็ลุกขึ้นไปเตรียมโน๊ตเพลงถัดไปมาให้บาค ซึ่งเธอได้เลือกบทเพลที่พรรณนาถึงช่วงเวลาที่บาคนั้นได้ไปเข้าร่วมงานศพของพ่อและแม่ของเขา ตอนนั้นเขารู้สึกเสียใจมากราวกับได้สูญเสียหัวใจจนพร้อมที่จะตามครอบครัวของเขาไปได้ทุกเมื่อ

              บทเพลงนั้นที่เทวดาเลือกมาเป็นบทเพลงสำหรับเดี่ยวเปียโนที่ประพันธ์โดยคีตกวีชาวฝรั่งเศสที่มีนามว่า Erik Satie บทเพลงชื่อว่า Gymnopedie No.1 ซึ่งเขาได้แต่งเพลงนี้ตอนที่เขาไปร่วมงานศพและเขาได้นำบรรยากาศในพิธีนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเพลงนี้

              “นี่...คือเพลงต่อไปจะเป็นบรรยากาศตอนที่เธอได้ร่วมพิธีศพของครอบครัวนะ” เทวดามอบโน๊ตเพลงให้กับบาค

              “เอ๊ะ….นี่มันเป็นเพลงสำหรับเปียโนไม่ใช่เหรอ ทำไมเอามาให้ฉันเล่นล่ะ” เพียงแค่มองโน๊คเพลงบาคก็สามารถบอกได้ทันทีแล้วถามอย่างสงสัย

             “เธอเองก็เล่นเปียโนได้ไม่ใช่หรือไง เธอบอกเองว่าแทบจะเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเอกเครื่องที่สองรองลงมาจากเชลโล่เลยใช่ไหมล่ะ”

             “ก็จริงแต่ก็นะ….” บาคพูดค้างไว้ก่อนจะหยุดไป

             “....นะอะไร?” เทวดาทวนอย่างอยากรู้

             “ฉันไม่ได้เล่นเปียโนมานานแล้ว ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะยังเล่นไหวแค่ไหน” บาคพูดตรง ๆ

             “เอาน่า ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าอยู่ฉันให้นายเล่นเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ไปกับเสียงเพลงซะ เมื่อกี้เล่นเพี้ยนไปยังไม่มีใครว่าเลยนะ” เมื่อเทวดาจี้จุดก็ทำให้บาคหน้าแดงด้วยความเขินที่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายรู้ด้วยว่าเขาเล่นเพี้ยน

             “อย่าเอาความจริงมาพูดเล่น!”

             “ฮิ ๆๆ ไม่เป็นไร ใครมันจะเล่นเป๊ะ 100% ล่ะอืม….มันก็คงมีแหละแต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนิถูกไหมล่ะ”

             “ก็ถูกของเธอ…..ฮื้ม….ลองดูละกันแล้วไหนล่ะเปียโน” บาคถามอย่างสงสัย เขายังไม่เห็นเปียโนเลย

            “รอแปปนึงนะเครื่องใหญ่ใช้เวลาขนส่งนานหน่อย อ้าวว มาพอดีเลย บอกได้เลยว่านี่คือหนึ่งในเปียโนที่ดีที่สุดในโลกนี้เลยล่ะ หวังว่าเธอจะชอบมัน” เมื่อเห็นเปียโนมาบาคจึงลุกขึ้นไปหาแล้วลองกดคอร์ดเล่น ๆ

            “หูววว….เสียงดีมากเลยสัมผัสก็ดีเอาล่ะลองดู”

            เทวดาก็ได้ช่วยให้บาคนั้นได้นึกถึงบรรยากาศในพิธีศพครั้งนั้นรวมไปถึงดึงอารมณ์ของเขาในขณะนั้นออกมาด้วย น้ำตาของบาคค่อย ๆ ไหลออกมาเงียบ ๆ จนน้ำตานองหน้า จากนั้นมือของเขาก็ได้มาวางไว้ที่คีย์เปียโนพร้อมที่จะกดคีย์ลงไปด้วยความนุ่มนวลแต่ในความนุ่มนวลนั้นก็เต็มไปด้วยความเศร้าที่เขาบรรเลงออกมาตามความรู้สึกของตัวเอง คีย์เปียโนก็เริ่มเปียกปอนไปด้วยน้ำตา แต่นั้นก็คือการระบายความรู้สึกที่อัดแน่นออกมาอย่างนึงที่จะช่วยให้เขานั้นก้าวผ่านความเศร้าที่ผ่านไปแล้วให้ได้ ซึ่งบทเพลงก็ดำเนินต่อไป….

            หลังจากที่บรรเลงบทเพลงนี้จนจบ หลังมือและใบหน้าของบาคก็ชุ่มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ ความอาวรณ์ ความคิดถึง ความโหยหาแต่ในดวงตาเริ่มยอมรับความสูญเสียในอดีตได้แล้ว การที่ชายหนุ่มนั่งนิ่งไม่พูดไม่จานอกจากน้ำตาไหลเงียบ ๆ มันทำให้เทวดาเป็นห่วงจนต้องตามมาดู

“นายโอเคหรือเปล่า”

             “ดูน้ำตาฉันสิว่ามันโอเคหรือเปล่า”

             “เห็นได้ชัดว่าโอเคแน่ ๆ….”

             “....ห๊ะ”

             “ล้อเล่นฉันรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไง ปล่อยมันออกมาแบบนี้มันช่วยให้นายระบายออกมาได้อย่างดีเลยนี่”

            “ใช่….ระบายอารมณ์ความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาได้ดีเลยล่ะ แต่มันก็ยังเสียใจอยู่ มันยังเจ็บปวดอยู่และยังคิดถึงพวกท่านมากเลยล่ะ คงไม่มีใครที่อยากจะเสียครอบครัวไปจริงไหม?”

            “การสูญเสียคนที่เรารักไปมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องรู้สึกเสียใจ แต่ในเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้วเราก็ไม่สามารถย้อนอดีตแก้ไขได้นะ คนทุกคนจะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ ฉันรู้ว่ามันยากกว่าที่จะเดินต่อได้แต่ละก้าว แต่ว่านะ...รักตัวเองขึ้นอีกนิดเถอะ คนเราสามารถแสวงหาความสุขในชีวิตได้เสมอ เรียกความเชื่อมั่นในตนเองกลับมา เธอยังมีค่าต่อการอยู่บนโลกต่อไป” เทวดาพูดกับบาคอย่างจริงใจและส่งต่อความปรารถนาดีอย่างสุดซึ้ง

            “ใช่ ผมรู้แต่มันยาก มันยากเมื่อโลกนี้ไม่ได้ใจดีกับผมเลย”

            “ยังไงล่ะ...เกี่ยวกับหญิงสาวคนนั้นเหรอ?”

            “ก็...ห๊ะ! เทวดารู้ได้ไง” บาคถามอย่างตกใจ

            “ก็ชั้นเป็นเทวดา ไม่รู้สิแปลก” เทวดายกไหล่เหมือนจะบอกว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ

            “ก็นั่นแหละ อย่างที่รู้คุณรู้ คนที่ผมไว้ใจมากที่สุด รักมากที่สุด เป็น Safe Zone ที่เหลือเพียงคนเดียวแทบจะเท่ากับพ่อและแม่แต่เขา...ก็ยังหักหลังผม” บาคเล่าไปร้องไห้ไปด้วยอย่างหนัก จนเทวดาเข้ามากอดอย่างสงสาร

             “ใจเย็นไว้นะ…เราเข้าใจเจ้านะ” 

             “เอ๊ะ….เทวดาร้องไห้เหรอ?” บาคถามเมื่อรู้สึกหยดน้ำตาที่เย็นสบายแต่อบอุ่นบนผิวของตัวเอง

             “เปล่า...แค่ลมมันพัดเข้าตาน่ะ” เทวดาเด้งตัวออกแล้วแก้ตัวทันที

             “เหรออออออ” บาคลากเสียงยาวอย่างไม่มีความเชื่อในน้ำเสียงเลย

             “อืม เราเข้าใจความรู้สึกเธอ เราก็เคยตกอยู่ในความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันมันเจ็บมากจริง ๆ แต่เมื่อก้าวข้ามผ่านมันไปได้ หัวใจของเราก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น”

             “งั้นเหรอเทวดา….ว่าแต่บนนี้เทวดามีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัยและจ้องมองจนเทวดาทำตัวไม่ถูก

             “เอ่อ...ก็ไม่เชิงว่าอย่างนั้นนะ อ้อ! ไหน ๆ ไหนแล้วเล่นเพลงถัดไปเลยล่ะกัน”

             “ตัดบทกันอย่างงี้เลยรึเทวดา”

             “งั้นฉันไปเอาโน๊ตเพลงก่อนแปปนึงนะ รอไปก่อน”

             “อะไรของเขานะ” บาคพูดกับตัวเองอย่างงุนงงเมื่อเห็นว่าเทวดารีบหนีไป

เทวดาได้ไปนำบทเพลงที่เธอเก็บไว้ในคลังของเธอเอง มันเป็นเพลงสำหรับเชลโล่และเปียโนเล่นด้วยกันแบบดูเอ็ตเป็นงานประพันธ์เพลงของ Johaness Brahms คีตกวีชาวเยอรมันในช่วงยุคโรแมนติก เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นนักแต่งเพลงที่นุ่มลึกที่สุดในสมัยนั้นด้วยเทคนิคการประสานเสียงขั้นสูงของเขาเอง เพลงนี้มีชื่อว่า Cello Sonata in E minor ซึ่ง Brahms แต่งเมื่อตอนที่เขาสูญเสียคนรักไปก็คือแม่ของเขาเอง มันจะพรรณนาถึงความเศร้าจากการสูญเสียและความเจ็บปวดขั้นสุด เธอได้ตั้งใจจะนำบทเพลงนี้มาบรรเลงร่วมกับบาคซึ่งเธอจะอยู่ในตำแหน่งของนักเปียโน

             “คนที่มีประสบการณ์เดียวกันเล่นเพลงด้วยกันมันจะออกมาดีแน่นอน” เทวดาพูดกับตัวเอง แล้วนำเพลงออกไปให้บาค

             “เอ้ามาละเหรอ รอตั้งนาน”

             “มาละ เอานี่ไป” เทวดาพูดแล้วส่งแผ่นโน้ตเพลงไปให้

             “เพลงนี้สำหรับเล่น 2 คนนี่แล้วใครจะเล่นพาร์ทเปียโนล่ะ” บาคถามทันที เพราะว่าเขาเล่นเครื่องดนตรีสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้

             “อาจจะลืมบอกไปว่าฉันก็เล่นเปียโนเป็นเหมือนกัน จะเรียกว่าเป็นเครื่องดนตรีหลักเลยก็ว่าได้ล่ะ”

             “ว้าววว พึ่งรู้นะเนี่ย” บาคประหลาดใจจริง ๆ ที่นี่คล้ายโลกจนเกินไปมาก

             “ใช่ งั้นเรามาเล่นกันเลยจะดีไหม คงไม่ต้องบอกนะว่าเพลงนี้ต้องนึกถึงอะไรเวลาเล่น ไม่งั้นคงไม่เลือกเล่นเชลโล่ละมั้งเนอะ” เทวดาถามพร้อมรอยยิ้มก่อนไปประจำการที่เปียโน

             “แน่นอน งั้นเริ่มเลยนะ นับ 2 ก็ได้” บาคบอกสัญญาณทำให้เทวดาตกลง

             “โอเค”

             ทั้งสองคนร่วมบรรเลงไปด้วยกันซึ่งทั้งคู่ก็ได้ผ่านประสบการณ์ที่เหมือนกันทำให้การเล่นของทั้งคู่ไปด้วยกันได้อย่างดีมากเปรียบ เสมือนเขาเป็น “คู่” ของกันและยิ่งบทเพลงนี้เป็นบทเพลงประเภท Sonata ซึ่งหมายถึงความสำคัญของเครื่องดนตรีทุกเครื่องมีความสำคัญเท่ากัน ซึ่งทั้งเขาและเธอก็สามารถสื่อสารกันได้ดีเลยทีเดียวหลังจากที่บรรเลงเสร็จนจบเพลงแล้ว ทั้งคู่ยิ้มให้กันบาคก็เริ่มมีอารมณ์ที่ดีขึ้นแล้วเทวดาก็ยิ้มดีใจที่ทำให้บาคนั้นสามารถมีความสุขได้อีกครั้งถึงจะไม่เต็ม 100% แต่เขาก็ดีขึ้น

             “รู้สึกดีเหมือนกันนะ ที่ได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นทั้งหลายออกมา มันโล่งขึ้นเยอะ” บาคพูดอย่างสบายใจ ความรู้สึกที่เหมือนโลกกดทับลงมามันได้หายไปจากไหล่แล้ว

             “ใช่ดนตรีมีพลังมากเลยนะ แล้วตอนนี้เป็นไงบ้างล่ะอยากกลับไปไหมหรือว่าจะไม่ไปละ” เทวดาถาม

             “อยากกลับนะแต่ว่า….ถ้ากลับไปแล้วฉันก็คงไม่ได้เจอเทวดาแล้วน่ะสิ” 

             “ห๊ะ! อะไรนะ ทำไมล่ะ” เทวดาถามอย่างตกใจ

             “ก็เทวดาคือคนที่ทำให้ฉันได้ระบายความรู้สึกออกมานี่นา จะให้กลับไปก็คงไม่มีคนให้ระบายแบบนี้เท่าไหร่นัก” 

             “ไม่เป็นไรบาค ก็ถือว่าเป็นความทรงจำที่ดีอีกความทรงจำหนึ่งนะ บางที...เดี๋ยวพวกเราก็อาจจะได้เจอกันอีกในอนาคต” เทวดาพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสงสัย

             “เฮ้อ...ไม่เป็นไรยังไงก็ขอบคุณมากนะที่ช่วยเราเอาไว้”

             “ไม่เป็นไร คราวหลังถ้าเศร้าก็นึกถึช่วงเวลาที่เราเล่นด้วยกันนะ แต่ก่อนจะกลับไปโลกของเธอ เรามาเล่นกันอีกเพลงดีมั้ยมีพอดีแต่เป็นเพลงแห่งควสามสุขนะ ฉันจะใช้เพลงนี้เพื่อเป็นการส่งเธอไปยังโลกที่เธออยู่”

             “ย่อมได้อยู่แล้วเพลงอะไรล่ะ”

             เพลงสุดท้ายที่เทวดาเตรียมมาให้คือ Kol Nidrei เป็นบทประพันธ์สำหรับเชลโล่กับออเคสตร้าของคีตกวีชาวเยอรมันชื่อว่า Max Bruch บทเพลงนี้เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทสวดของชาวยิวเป็นบทสวดเกี่ยวกับการไถ่บาบ การภาวนา แล้วเทวดาเธอก็จะนำบทเพลงนี้มาเล่นกับบาคเป็นการลาครั้งสุดท้ายและเธอจะเล่นตำแหน่งนักเปียโนแทนออเคสตร้าเองด้วย เท่านั้นยังไม่พอเพราะว่าเธอยังได้เชิญแขกคนอื่น ๆ เข้ามามาร่วมดูหลายร้อยคน

             “ตื่นเต้นไหมพ่อหนุ่ม” เทวดาถามทำให้บาคหันหน้าไปมองคนถาม

             “ทำไมเอาคนมาเยอะขนาดนี้ล่ะ~~ ตื่นเต้นไปหมดแล้ว”

             “เอาน่า! ใจเย็นเข้าไว้นะบาค ทุกคนมาดูเพื่อให้กำลังใจพวกเรากันทั้งนั้นแหละ” เทวดาบอก แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงเชียร์จากผู้ชมต่างเป็นกำลังใจให้พวกเขาอย่างเต็มเปี่ยม

             “พร้อมหรือยัง จะขึ้นเพลงละนะ” เทวดาหลังจากนั่งตรงหน้าเปียโนแล้ว

             “โอเค…มาเลย พร้อมละ” บาคที่เรียกสมาธิกลับร่างได้ก็ตอบไป

             หลังจากนั้นบทเพลงที่พวกเขาตั้งใจเล่นก็บรรเลงไปอย่างราบรื่น บทเพลงแห่งความสุขก่อนที่ตัวของบาคนั้นจะได้กลับไปใช้ชีวิตอีกครั้งที่โลกของตัวเองอย่างมีความหวังอีกครั้ง เมื่อจบบทเพลงแล้วเสียงปรบมือของคนหลายร้อยคนดังก้องไปหมด ผู้เล่นทั้งสองคนโค้งคำนับทุกคนและจากนั้น การล่ำลาก็ได้มาถึงแล้ว...

             “ไปแล้วนะเทวดา” บาคพูดอย่างเหงา ๆ

             “อื้ม! ลาก่อนนะขอให้มีความสุขกับชีวิตนะ” เทวดาอวยพร

             “ว่าแต่เทวดาชื่ออะไรเหรอ? นี่ยังไม่ได้รู้ชื่อของเธอเลยนะตั้งแต่ที่เราได้เจอกัน”

             “นึกว่าจะไม่ถามซะแล้วแต่ว่า...ไม่บอกหรอก เดี๋ยวสักวันก็จะรู้เองล่ะรีบไปได้แล้วนะ”

             “เอ้า! อะไรกัน…เฮ้อ ก็ได้ ไม่เป็นไรแล้วพบกันใหม่นะ” บาคโบกมืออำลา

             “เมื่อเวลามาถึงนะ บาค” เทวดาโบกมือลาตอบกลับ

             “แคล มาดูลิสงานตรงนี้หน่อย” เสียงเทวดาอีกคนเรียกเธอ

             “โอเค ไหนมีอะไรหรอ?”

             “...เอ๊ะ” บาคสงสัยแต่ก็ไม่ได้หันมาถามไถ่เทวดาสาว จากนั้นบาคก็ได้เข้าประตูเมฆเพื่อที่จะกลับไปที่โลกที่ตัวเองอาศัยอยู่

 

                                                ..............................................

 

             บาคเขารู้สึกเหมือนว่าเขาเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในวัยเด็ก มันทำให้เขาทราบดีว่าตอนนี้ตัวเขาคงจะอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังนอนบนเตียงและมีสายน้ำเกลืออยู่แขนด้านขวาด้วย สมองของเขาเหมือนยังทำงานได้ไม่ปกตินัก หลายอย่างยังพร่ามัวอยู่อาจจะเป็นเพราะเขานั้นพึ่งได้สติ จากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น

             “สวัสดีครับคุณบาค ตอนนี้รูึกอย่างไรบ้างครับ” คุณหมอเข้ามาถามอย่างเป็นมิตร

             “ตอนนี้ก็ยังมึน ๆ ครับหมอแล้วผมหลับไปนานขนาดไหนกันครับ”

             “คุณหมดสติไปนับตั้งแต่เราได้ตัวคุณมารักษาก็ประมาณ 3 วันได้ครับตอนนั้นคุณอาการหนักกว่านี้มากครับอัตราการเต้นของหัวใจต่ำมาก ทางเรานึกว่าจะเสียคุณไปแล้วครับ”

             “งั้นก็ยังโชคดีที่ผมยังกลับมาได้นะหมอ”

             “ใช่ครับ ทางเราพยามอย่างสุดความสามารถครับแต่ว่า….ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วมีคนเอาของมาให้คุณด้วยนะครับ” คุณหมอบอกทำให้บาคแปลกใจ ใครจะเอาของมาให้เขากัน

             “เขาคือใครเหรอครับหมอ”

             “เขาบอกหมอว่าเป็นคนที่รู้จักกับคุณน่ะครับ นี่ครับ” หมอยื่นแฟ้มเอกสารหนาปึกให้บาค

             “โห อะไรเนี่ย ขอบคุณมากครับคุณหมอที่รับฝากมาให้” บาครับแล้วว่าไว้บนตักตัวเอง

             “ด้วยความยินดีครับงั้นผมไปก่อนแล้วกัน ผมจะให้คุณพักผ่อนนะครับ”

             “โอเคครับ”

             บาคได้เปิดแฟ้มเอกสารนั่นดูปรากฏว่าแฟ้มอันนี้เต็มไปด้วยโน้ตเพลงที่เขาได้เล่นในอีกโลกนึงกับเทวดาคนนั้นแล้วก็มีข้อความเขียนไว้ที่หัวกระดาษว่า “ขอให้มีความสุขกับชีวิต” บาคสงสัยว่าใครเป็นคนเอามาให้แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าคงอยู่คนละโลกกัน แต่ก็ได้อมยิ้มปลื้มปิติและก็หวังว่าจะได้เจอเทวดาอีกครั้งหนึ่งถึงอีกใจของเขาจะรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตามที

             หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเป็นอย่างดีมาเรื่อย ๆ บาคยังทำอาชีพเป็นนักดนตรีและครูสอนดนตรีเรื่อยมาแต่...เขาในตอนนี้แตกต่างกันออกไป เขาในตอนนี้รู้สึกดีมากกับการใช้ชีวิตของเขาและปล่อยวางเรื่องร้าย ๆ ในอดีตไปได้ จนกระทั่งผ่านมาหลายเดือนในวันที่อากาศแจ่มใส ในร้านกาแฟที่บาคแวะก่อนที่เขาจะไปซ้อมที่หอแสดงดนตรีประจำของเขา

             “ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ พอดีโต๊ะเต็มแล้วค่ะ” เสียงหญิงสาวแปลกหน้าใส่ชุดเดรสสีดำ หมวกใบใหญ่พร้อมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ถึงแก้มตอนล่างของเธอถามอย่างสุภาพ

             “อ่อ….ได้ครับเชิญเลยครับเดี๋ยวผมช่วย” เขางง ๆ แต่ก็รับคำช่วยเหลือของสาวคนนั้นแต่เขานั้นก็แอบยิ้มอย่างมีเล่ห์สนัย

             “ช่วงนี้อากาศร้อนจังเลยนะคะว่าแต่...แฟ้มอันนี้คืออะไรเหรอคะ โปรแกรมเพลงที่จะแสดงในอาทิตย์นี้เหรอคะ” หญิงสาวแปลกหน้าถามไปในสิ่งที่เธอสนใจ

             “ไม่ใช่ครับอันนี้คือเพลงที่จะซ้อมเป็นการส่วนตัวครับ เป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดครับ” บาคพูดตามความเป็นจริงพร้อมกับส่งยิ้มให้หญิงสาวคนนั้น

            “อ้อ...ไหนจะต้องซ้อมเพลงส่วนตัวและเพลงของวงอีกงานหนักเลยนะคะ”

            “ใช่ครับแต่ผมว่างานบนฟ้าคงหนักไม่ต่างกันนะครับ” เมื่อชายหนุ่มพูดแบบนี้ก็ทำให้หญิงสาวสะดุ้ง

            “...อะไรนะคะ ฟ้าอะไรนะคะ” หญิงสาวตกใจ

            “หึ ยังทำเป็นไม่รู้อีกนะครับคุณเทวดา” บาคถามกลับยิ้ม ๆ ทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมา

            “คนเป็นนักดนตรีเพ้อเจ้ออย่างงี้ทุกคนไหมคะ ฮ่า ๆ” หญิงสาวหัวเราะออกมาเสียงใสและอารมณ์ดี

            “ยังอีก! เทวดา!” บาคขึ้นเสียงบ่งบอกว่าตนจำคนได้ไม่ผิดอย่างแน่นอน

            “จำชั้นได้ด้วยงั้นเหรอ บาค” เทวดาถามแล้วเท้าคางตัวเองเพื่อมองอีกคน

            “ก็เทวดาไม่ดัดเสียงเลย ผมนักดนตรีนะครับทำไมจะแยกเสียงไม่ได้ แล้วคิดอะไรอยู่ถึงคิดว่าผมจำไม่ได้” บาคถามอย่างสงสัย

            “โอ้ววเยี่ยมมาก” เทวดาตบมือให้เบา ๆ อย่างชื่นชม

            “ว่าแต่ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ แล้วก็ผมยังไม่รู้ชื่อเทวดาเลยนะ บอกหน่อยสิอุตส่าห์เจอกันอีกครั้ง”

            “โอเค...เรียกเราว่า แคร์โรลิน่า นะ”

            “ขอเรียกแคลอย่างเดียวละกัน ชื่อเรียกยากเหลือเกิน”

            “ก็ถามเอง เรื่องมากจริงจริ๊ง ก็ได้! เรียกอะไรก็ตามใจเลย”

            หลังจากนั้นทั้งสองคนนี้ก็สนิทกันมากขึ้น ทั้งคู่ได้ไปทำงานและทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยมากขึ้นแล้วอาการของบาคก็ได้มีอาการที่ดีขึ้น จาก Safe Zone คนใหม่ของเขา “แคล” จนกระทั่งเขาหายดีและสามารถใช้ดนตรีของเขาเพื่อสร้างความสุขให้คนอื่นได้ตามที่เขาปรารถนาร่วมกับ “เพื่อนสาว” ของเขาเอง

จบบริบูรณ์

  • White YouTube Icon
  • White Facebook Icon
  • White Twitter Icon
  • White Instagram Icon

© 2022 by Kritpakorn Chanfak. Powered and secured by Wix

bottom of page